Thursday, January 5, 2012 0 comments

BRANDS ที่ชอบ ยี่ห้อที่ใช่

           สังเกตตัวเองมาได้พักใหญ่ๆว่ายี่ห้อที่ชอบในช่วงนี้ (คือตั้งแต่อายุ 23 ปีเป็นต้นมา)  จะเน้นชอบยี่ห้อที่เรียบง่าย ใช้ได้จริง ใช้ได้นาน เน้นคุณภาพและ function ไม่ค่อยจะแฟชั่นมาก หวือหวาเหมือนเมื่อก่อน  สงสัยจะเริ่มแก่แล้วล่ะมั้ง ☺
           ยี่ห้อที่ชอบมีของฝรั่ง 2 ยี่ห้อ ของญี่ปุ่น 2 ยี่ห้อพอดีเลยแหะ บังเอิญจริงๆ

                        ♥  Apple 
                                   แบรนด์แรกเป็นแบรนด์สุดที่รัก  สำหรับ Apple นี่ต้องเรียกว่าเราเป็นสาวกตัวจริง เพราะมีเกือบทุกอย่าง  ทั้ง macbook, iPod, iPhone, iPad ดิชั้นมีหมดค่ะ เรียกว่ารักกันจริง  และจะรักต่อๆไป ถึงแม้ท่านศาสดา Steve Jobs จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม แต่ยังไงก็ชอบ Design และแนวคิดของยี่ห้อนี้จริงๆ
                                   ล่าสุดที่ได้มาคือ iPhone 4S ใช้แล้วชอบมากกกกกก รักเลย กล้องชัด ประมวลผลไว แถมมี "Siri" ให้คุยด้วยคลายเหงาอีกต่างหาก




                        ♥  MUJI
                                   ยี่ห้อนี้มีปัญญาใช้แค่พวกเครื่องเขียนของเค้า  เพราะอย่างอื่นราคาในไทยโหดมาก มีแค่พวกเครื่องเขียนที่ราคาพอรับได้หน่อย  ติดใจมากๆจะเป็นดินสอกด,ปากกาลูกลื่น, ปากกาสีๆ แล้วก็ยางลบ  โชคดีมากที่ทุกสิ่งที่ซื้อมา Made in Japan หมดเลย ไปอ่าน Review มาบางคนบอกว่าพวกเครื่องเขียนบางตัวมี Made in Thailand ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าผลิตในประเทศเราแล้วไม่ดี แต่อย่างน้อยจ่ายให้เค้าแพง ก็ขอให้มันได้ทำในต่างประเทศหน่อยเหอะ จะได้คิดว่าที่แพงนี่อย่างน้อยก็ค่าแรงเค้าแพง ไหนจะค่าขนส่งอีก บลาๆๆๆ กะว่าไปญี่ปุ่นเมื่อไหร่จะไปเหมามาเยอะๆเลย  นอกนั้นที่เล็งๆไว้แต่ยังไม่ได้ซื้อ (กะไปซื้อที่ญี่ปุ่น) คือพวก skincare กับ make up อ่านรีวิวมาแล้วพบว่า Cleansing Oil, Lotion สูตร Moist แล้วก็แป้งฝุ่นเบอร์ 1 มีวิ้ง ใช้ดีมาก ราคาที่นี่โหดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตัวเองมีพวกนี้เยอะแล้วเลยรอไว้ไปซื้อที่ญี่ปุ่นดีกว่า จะได้ประหยัดเงินหน่อย อ้อ... สำลีที่นี่ก็เริ่ดอยู่นะ ราคาแพงกว่าของ Boots นิดหน่อย แต่ดูแล้วคุณภาพน่าจะดีกว่ากันเยอะเลย
                                  ในคลิปนี่เป็นลิ้นชักเก็บของทำจากอะคริลิกเรซิ่น  เห็นใน youtube ของบรรดา Beauty Guru แล้วก็เกิดอยากจะได้บ้าง พอไปดูราคาก็แทบสิ้นสติ....  ลิ้นชัก 4 ชั้น ราคา 995 บาท!!! โอ้วววว แพงอะไรได้ขนาดนี้  ตอนไปจ่ายเงินเลยแอบถามพนักงานว่ากล่องแบบนี้ถ้าตกลงมามันจะแตกมั้ย? ได้รับคำตอบที่ชัดเจนมาว่า "แตกค่ะ" ............ แบบนี้ไปซื้อลิ้นชักเก็บของของ IKEA น่าจะเวิร์คกว่านะ





                        ♥  Uniqlo
                                   ยี่ห้อนี้มีดีตรงที่เข้าไทยแล้วไม่แพงเว่อร์มาก คือราคาต่างจากฮ่องกงประมาณ 15% ก็ถือว่ารับได้นะ และจัดโปรโมชั่นค่อนข้างบ่อย  เราก็รอซื้อตอนที่มันจัดโปรโมชั่นเอา จะได้รู้สึกว่าไม่แพงกว่าที่ฮ่องกงหรือที่ญี่ปุ่นมาก  ยี่ห้อนี้เสื้อผ้าเน้นว่าเรียบๆ บ้านๆ แต่ใส่สบาย ใส่ได้เรื่อยๆ คือมันออกจะไม่แฟชั่นเอาซะเลย  ถ้าใครเป็นแฟนยี่ห้อ Zara ก็จะเกลียด Uniqlo ไปเลยล่ะ  แต่พอดีว่าเราทำใจไม่ค่อยได้กับราคาเสื้อผ้าของ Zara ที่ตัวละ 2,000+ แล้ว Cuttings ก็ยังไม่เรียบร้อย เนื้อผ้าก็ไม่ดีอีกต่างหาก แต่แบบเค้าก็สวยจริง คือเน้นที่ Design เลย จะแฟชั่นมากๆ  แล้วก็เปลี่ยนคอลเลคชั่นบ่อยๆ  แบบเสื้อผ้าก็เลยจะไม่ค่อยซ้ำกัน  แต่ Uniqlo นี่เค้าจะมีตัวยืนพื้น เรียกว่าเป็น Collection Basic แล้วกัน (อันนี้ตั้งเอง)   นอกนั้นในแต่ละคอลเลคชั่นก็อาจจะมีอย่างอื่นออกเสริมมาเรื่อยๆ  บางคนที่ติดแฟชั่นมากๆก็จะมองว่าเสื้อผ้า Uniqlo นี่มันเหมือนๆกันไปหมดเกือบทุก Seasons เกือบทุก Collections เลย 555555+   ซึ่งบางทีเราก็รู้สึกแบบนั้นนะ ไปญี่ปุ่นรอบนี้ก็กะว่ายังไงก็จะไม่พลาดไปเสียทรัพย์ให้กับ Uniqlo แน่นอนเลย



                                   
                        ♥  IKEA
                                    ยี่ห้อนี้เป็นของสวีเดน  ขายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เรียกว่ามีของให้เลือกดูเลือกช็อปกันเยอะมากๆๆๆๆ  เราสามารถเดินใน IKEA ได้ทั้งวันเลยแหละ  ชอบที่สุดก็คงจะเป็นไอเดียการแต่งบ้านของเค้าที่บริหารพื้นที่ใช้สอยได้เจ๋งมากๆ  อยากทำได้บ้าง  เพราะเป็นมนุษย์ไร้ระเบียบสุดๆ รู้สึกว่าใช้พื้นที่ในคอนโดได้ไม่คุ้มค่าเลย  ความฝันลึกๆคืออยากจะโละเฟอร์นิเจอร์ที่คอนโดออกให้หมด แล้วเปลี่ยนใส่เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งห้องเป็นของ IKEA ทั้งหมด  😊แบบนี้เรียกว่าหวังเยอะไปมั้ย? เอาเป็นว่าชอบจริงจัง  นั่งดูแคตตาล็อกได้ทั้งวัน พยายามจะเอาสิ่งที่เห็นมาเป็นไอเดียในการแต่งห้องตัวเองบ้าง แต่ก็ยังไม่สำเร็จซะที  5555+  คงเพราะของในห้องนี่มีส่ิงของที่ไม่ได้ใช้แล้วสิงสถิตอยู่เยอะเกินไปเป็นแน่แท้  ยังไงปีใหม่นี้ก็จะลองเก็บๆ + ตัดใจทิ้งพวกของเก่าๆดูแล้วกัน






                   หมดแล้วสำหรับยี่ห้อที่ชอบ  แต่คาดว่าพออายุเยอะกว่านี้  รสนิยมก็คงจะเปลี่ยน  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะยังชอบยี่ห้อพวกนี้อยู่หรือเปล่า  แต่คิดว่า 4 ยี่ห้อนี้ยังไงก็น่าจะยังชอบเหมือนเดิมนะ :)





Tuesday, December 27, 2011 1 comments

พื้นฐานในการเลือกคู่ครอง

              อาทิตย์ที่แล้วไปงานแต่งงานมา มีคุณ @Dungtrin ขึ้นไปพูด บอกว่าชีวิตคู่ที่ดีมันเริ่มตั้งแต่ตอนเลือกคนที่จะมาอยู่ด้วยแล้ว  คือถ้าเลือกดี เลือกคนที่ "เสมอ" หรือ สมกันกับเรา มันก็จะพากันไปในทางดีง่าย เหมือนหลัก สมชีวิตา ว่าด้วยความเสมอกันใน ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา


              คือคำว่า "คนดี" มันมีดีหลายแบบ ดีแบบคนทั่วๆไปมักจะหมายถึง นิสัยที่เขาแสดงให้เราดู ไม่ได้ดูถึงศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา

              เมื่อก่อนเคยคิดว่า อะไรก็ไม่สำคัญ ขอให้รักกันเท่านั้นพอ แต่ค้นพบว่าจริงๆความรักเท่าไหร่ก็ไม่พอถ้าสี่ข้อนั้นไม่เสมอกัน  คนเราถ้าศรัทธาในเรื่องคนละขั้ว ศีลกระพร่องกระแพร่ง ใจที่ชอบสละออกไม่เท่ากัน ปัญญา เข้าใจโลกต่างกัน พูดคนละภาษา รักแค่ไหนก็หมดใจได้สักวัน

              ปัญหาคือ เราถูกสังคมหลอมให้มอง "ผู้ชาย/ผู้หญิงดีๆ" จากเรื่องผิวเผิน เช่นหน้าตา ฐานะ นิสัย(ที่เขาแสดงให้เราเห็น) รสนิยม ฯลฯ   ไม่ได้บอกว่า หน้าตา ฐานะ ฯลฯไม่สำคัญนะ ก็ต้องพิจารณาบ้าง แต่ที่สำคัญกว่าคือสี่ข้อที่ว่า ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา


               ถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ๔ ข้อนั้นเสมอกัน ตอบว่า ก็ต้องสังเกตเอาครับ คุยกันเยอะๆ, ถามต่อว่า เสมอกันแล้วดียังไง ตอบว่า จะสบายใจในการอยู่  คนอยู่ด้วยกันแล้วศรัทธา ศีล จาคะ ไม่เสมอกัน มันจะมีคำถามกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำเสมอๆ พยายามยอมรับได้มั้ย ได้..แต่ไม่สบายใจอยู่ลึกๆ  ส่วนปัญญา ถ้าไม่เสมอกัน จะเหมือนคุยกันคนละภาษาครับ เราพูดเรื่องหนึ่ง เหมือนเขาไม่ได้ยิน เขาไปให้น้ำหนักให้ค่ากับอีกเรื่องหนึ่ง

               จาคะ คือการสละออกซึ่งสิ่งที่เราครอบครอง มีอยู่ ระดับสูงสุดคือ การยึดในตัวตนน่ะครับ  จาคะแบบละเอียด เช่นการเป็นคนหน้าใหญ่ ยึดติดกับชื่อเสียง ภาพลักษณ์ กับคนติดดิน ไม่ห่วงภาพก็อยู่กันยากนะ  จาคะ หมายถึงความยินดีพอใจในการสละออก ซึ่งสิ่งที่เคยรู้สึกว่าเป็นของตนน่ะครับ ทาน ก็เป็นส่วนปลีกย่อยอันนึงในจาคะ

               ศรัทธา เอาง่ายๆ คนรักทักษิณกับเกลียดทักษิณ อยู่กันลำบากนะ  หรือคนนึงศรัทธาในแบรนด์เนม อีกคนชอบชีวิตสมถะ ก็อยู่กันลำบาก ส่วนจาคะ แบบง่ายๆคือคนชอบทำทาน กับคนขี้ตืด อยู่กันลำบากนะ



ทิ้งท้าย...

          "ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ชีวิตหลังแต่งงานมักเป็นเรื่องของสองคนรวมกับญาติๆของแต่ละฝ่าย"

           "รักที่สมหวัง ก็มีทุกข์รออยู่นะครับ คือการพลัดพรากจากกันในวันหนึ่ง"





รวมรวมจากทวีตของ @aston_ed   วันที่ 27 ธันวาคม 2554




 
;